ReadyPlanet.com
dot
dot
สมุนไพรยุคใหม่
dot
bulletผลวิจัยสมุนไพรยุคใหม่
bulletผลวิจัยสมุนไพรต้านมะเร็ง
dot
ภาพสมุนไพรและสรรพคุณ
dot
bulletภาพสมุนไพร และสรรพคุณ จำนวน 712 ชนิด ( ชมภาพขนาด 500 X 375 Px)
dot
ประสบการณ์ ผู้ใช้สมุนไพร
dot
bulletประสบการณ์ที่ 1
bulletประสบการณ์ที่ 2
bulletประสบการณ์ที่ 3
dot
ข้อแนะนำในการใช้ยาสมุนไพรและยาแผนปัจุบัน
dot
bulletการใช้ยาสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน
dot
สรรพคุณสมุนไพร แก้โรคต่างๆ 42 โรค
dot
bullet แก้ไข้
bulletแก้ตกโลหิต/ห้ามเลือด
bulletแก้ตับทรุด ม้ามย้อย
bulletแก้ตานซาง
bulletท้องร่วง แก้บิด
bulletแก้นำเหลืองเสีย
bulletแก้ประดง
bulletแก้พิษเบื่อเมา
bulletแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย
bulletแก้พิษอักเสบ
bulletแก้ริดสีดวงทวาร
bulletแก้โรคตา
bulletแก้โรคผิวหนัง
bulletแก้โรคฟัน
bulletแก้โรคหู
bulletแก้สะอึก
bulletแก้เสมหะ ( คูถเสมหะ)
bulletแก้เสมหะ (ศอเสมหะ)
bulletแก้เสมหะ (อุระเสมหะ)
bulletแก้อักเสบ ฝี หนอง มะเร็ง
bulletแก้อาเจียน
bulletแก้ไอ ขับเสมหะ
bulletแก้ไอ หรืออาเจียนเป็นโลหิต
bulletขับปัสสาวะ และนิ่ว
bulletขับพยาธิ์ลำไส้
bulletขับลมในลำไส้ (บำรุงธาตุ)
bulletขับโลหิตระดู
bulletขับเหงื่อ
bulletเจริญอาหาร
bulletทำให้ถ่ายอย่างแรง
bulletทำให้ระบายท้อง
bulletทำให้อาเจียน
bulletบำรุงครรภ์รักษา
bulletบำรุงนำดี
bulletบำรุงนำนม/ขับนำนม
bulletบำรุงประสาท
bulletบำรุงปอด
bulletบำรุงโลหิต
bulletบำรุงเส้นเอ็น
bulletบำรุงหัวใจ
bulletฟอกโลหิตระดู
bulletอายุวัฒนะ
dot
การใช้สมุนไพร ยามเจ็บป่วย
dot
bulletอาการไข้ ตัวร้อน
bulletอาการไอ
bulletกลิ่นปาก และ แผลในปาก
bulletปวดฟัน
bulletปวดเจ็บท้อง จุกแน่น หรือแสบแน่นท้อง
bulletท้องเสีย ท้องเดิน
bulletท้องผูก
bulletอาเจียน
bulletผดผื่นคัน โรคผิวหนัง
bulletแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
bulletแผลอักเสบ สิว หนอง
bulletปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ
dot
ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ
dot
bulletยาสามัญประจำบ้าน 27 ขนาน ตามประกาศกระทรวง
dot
สูตรยาสมุนไพรโบราณ รักษาโรค 200 สูตร
dot
bulletยาแก้ขัดเบา
bulletยาแก้ไข้
bulletยาแก้ไข้ทับระดู
bulletยาแก้ไข้ท้องร่วง
bulletยาแก้ไข้ระงับพิษ
bulletยาแก้ไข้หวัด
bulletยาแก้ไข้หวัดใหญ่
bulletยาแก้ไข้หืด หัด สุกใส
bulletยาแก้ความจำเสื่อม
bulletยาแก้ความดันโลหิตสูง
bulletยาแก้งูสวัด
bulletยาแก้เด็กเป็นซาง
bulletยาแก้ตกเลือด
bulletยาแก้ตับทรุด
bulletยาแก้ตาแดง ตาเจ็บ
bulletยาแก้ตานขโมย
bulletยาแก้ต่อมทอนซิลอักเสบ
bulletยาแก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ
bulletยาแก้ท้องเดิน ท้องเสีย
bulletยาแก้ท้องร่วง
bulletยาแก้ท้องอืด
bulletยาแก้นิ่ว
bulletยาแก้บิด มูกเลือด
bulletยาแก้ปวดฟัน
bulletยาแก้ปัญหาทางเพศ
bulletยาแก้ปวดเมื่อย
bulletยาแก้ปวดหลัง
bulletยาแก้ปวดหู
bulletยาแก้พิษบาดทะยัก
bulletยาแก้ มดลูกอักเสบ
bulletยาแก้ระดูไม่มาตามกำหนด
bulletยาแก้ร้อนในกระหายนำ
bulletยาแก้โรคกระเพาะ
bulletยาแก้โรคกระษัย
bulletยาแก้โรคดีซ่าน
bulletยาแก้โรคตับ
bulletยาแก้โรคเบาหวาน
bulletยาแก้โรคมะเร็ง
bulletยาแก้โรคริดสีดวงจมูก
bulletยาแก้โรคริดสีดวงทวาร
bulletยาแก้โรคลมต่างๆ
bulletยาแก้โรคหนองใน
bulletยาแก้เหน็บชาและอัมพาต
bulletยาแก้อาการผิดสำแดง
bulletยาแก้ไอ
bulletยาขับปัสสาวะ
bulletยาขับและฆ่าพยาธิ
bulletยาชะลอความชรา
bulletยาดองเหล้า
bulletยาทารักษาบาดแผลสด
bulletยาทำให้ผิวพรรณสวยงาม
bulletยาบำรุงกระดูก
bulletยาบำรุงกำลัง
bulletยาบำรุงไต แก้กามตายด้าน
bulletยาบำรุงธาตุ เจริญอาหาร
bulletยาบำรุงร่างกาย
bulletยาบำรุงโลหิต
bulletยารักษาธาตุ
bulletยาลดไขมัน
bulletยาสตรีที่ประจำเดือนผิดปกติ
bulletยาสตรีปวดประจำเดือนมาก
bulletยาสตรีวัยทอง
bulletยาเสาธงเหล็ก
bulletยาหม่องนำ ดมแก้หวัด
dot
ยาอายุวัฒนะ
dot
bulletชุดที่ 1 จำนวน 12 ขนาน
bulletชุดที่ 2 จำนวน 27 ขนาน
dot
ยอดยาสมุนไพร ขนานเอก ยุค จิ๋นซีฮ่องเต้
dot
bulletสูตรไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมัก
dot
ยอดตำรายาสมุนไพรไทย
dot
bulletตำรายาเหงือกปลาหมอ
bulletตำรายาหัวกวาวเครือ
dot
สมุนไพรที่น่ารู้จัก
dot
bulletเรื่องที ๑ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
bulletเรื่องที่ ๒ สมุนไพร โสม
bulletเรื่องที่ ๓ เห็ดหลินจือกับแพทย์แผนปัจจุบัน
bulletเรื่องที่ ๔ สารสกัดจากเปลือกต้นสนมาริไทม์
dot
สาระน่ารู้ เคล็ดลับร้อยแปด
dot
bulletข่าวจากหนังสือพิมพ
bulletอาหารที่ทำให้อายุสั้น 10 อย่าง
bulletนมกับผลร้ายเมื่อดื่ม
bulletผลร้ายของการดื่มนม – ความลับด้านหลังดวงจันทร์
bulletประสบการณ์และข้อคิด อีกมุมหนึ่งของการดื่มนม
bulletอ่านสุขภาพจากการตรวจด้วยเทคโนโลยียุคใหม่
bulletเหตุที่คนญี่ปุ่นไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็น
bulletเผยเคล็ดลับคนดังลดน้ำหนักอย่างได้ผล
dot
Updateข่าวสมุนไพร
dot
bulletข่าวจากหนังสือพิมพ์
dot
Newsletter

dot




ประสบการณ์ที่ 3

 

ประสบการณ์ ลำดับที่ 3
จากหนังสือ ประสบการณ์ จากภูมิปัญญาชาวบ้าน
ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
โดย นายศุภกิจ นิมมานนรเทพ
อดีตรองอธิบดีกรมทะเบียนการค้า
และอดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์
 
              เรื่องที่ ๑  กินมะแว้ง 1 เดือน โรคเบาหวานหาย
                          
 
                ท่านอาจารย์สถิตย์ เสมานิล นักหนังสือพิมพ์อาวุโสและกรรมการชำระพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 แต่ท่านอาจารย์หายสาบสูญไปตั้งแต่ต้นปี 2524 เมื่ออายุ 83 ปี
                ตอนที่ผมพบและรู้จักท่านอาจารย์นั้น ผมเห็นท่านพกยาติดตัวไปกินหลังอาหาร 3 มื้อ ขณะนั้นท่านอายุใกล้ 70 ปี ท่านบอกว่าเป็นยารักษาโรคเบาหวานซึ่งป่วยมาราว 20 ปีแล้ว
                ต่อมาเมื่อผมสนิทคุ้นเคยกับท่านมากขึ้นทุกเช้าผมจะไปรอพบท่านที่คลินิกย่านสยามสแควร์ ท่านจะไปให้หมอหรือพยาบาลตรวจและฉีดซูลินให้ ท่านก็จะเดินงอพับแขนข้างที่ถูกฉีดยาเพื่อหนีบสำลีซับเลือด ผมจึงช่วยถือของโดยมากก็พวกหนังสือและหนังสือพิมพ์อันเป็นอาชีพที่ท่านทำมาตั้งแต่อายุ 22 ปี ขณะนั้นท่านอาจารย์ประจำการอยู่ที่หนังสือพิมพ์ ชาวไทย สี่แยกแม้นศรี
                เช้าวันหนึ่ง เมื่อท่านอาจารย์เสร็จธุระจากคลินิกเดินสวนทางกับชายหญิงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานคู่หนึ่ง คาดว่าเป็นสามีภรรยาทั้งสองคนนี้พอเห็นก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมบอกว่าเคยติดตามอ่านบทความและตามชมรายการภาษาหนังสือที่ท่านอาจารย์ไปเป็นวิทยากรเนือง ๆ ที่สุดก็สอบถามว่าท่านอาจารย์ป่วยเป็นอะไร จึงได้มาหาหมอ ?
                พอรู้ว่า ท่านอาจารย์ป่วยด้วยโรคเบาหวาน ก็บอกว่า
                อาจารย์จะเชื่อหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ แต่คุณแม่ของเราซึ่งป่วยเป็นเบาหวานเหมือนอาจารย์นี่แหละท่านได้ตำรามาจากไหนไม่ทราบ คือ
                ให้คนที่ป่วยกินมะแว้ง วันละหนึ่งกำมือของตนเอง ต้องกินติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน ห้ามเว้น ถ้าเว้นต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่
                วิธีกิน จะกินอย่างไรก็ได้ เช่น กินสด ๆ นึ่งหรือลวกจิ้มน้ำพริกหรือผัดกับหมู ไก่ กุ้ง ปลา ฯลฯ แล้วแต่ถนัด
                เมื่อกินไปสัก 7-8 วัน ให้ลองไปเจาะเลือดตรวจดูอัลตราน้ำตาลในเลือด ถ้าหากอัตราน้ำตาลลดลงแสดงว่าถูกโรค ให้อดทนกินมะแว้งต่อไปทุกวันจนกว่าจะครบ 1 เดือน แล้วจึงไปเจาะเลือดตรวจอีก ถ้าอัตราน้ำตาลลดลงแต่ยังไม่ถึงเกณฑ์หายป่วยก็กินต่อไป แม้จะพบว่าอัตราน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์หายป่วยก็จริง ก็ควรกินมะแว้งคุมเชิงต่อไปอีกระยะหนึ่งจนแน่ใจว่าหายสนิทจึงเลิกกินมะแว้ง”
                ท่านอาจารย์สถิตเริ่มเตรียมการกินมะแว้งทันทีที่ลงจากรถเมล์ตรงข้ามตลาดแม้นศรี ก็เดินเข้าไปถามหาซื้อมะแว้งที่แม่ค้าขายผักหลายราย ไม่มีใครเอามะแว้งมาขายสักรายเดียว แต่แม่ค้ารายหนึ่งเมื่อทราบว่าท่านอาจารย์จะซื้อมะแว้งเป็นประจำจึงรับอาสาว่าจะสั่งชาวสวน หามะแว้งมาขายให้ทุกวัน ๆ ละ 1 พวง เฉพาะวันเสาร์ 2 พวง เพราะท่านอาจารย์ต้องตุนไว้กินในวันอาทิตย์
                อีก 2-3 วันต่อมา ท่านอาจารย์ก็เริ่มกินมะแว้ง โดยนำไปล้างให้สะอาดแล้วเด็ดผลมะแว้งใส่ถ้วยไว้บนมุมโต๊ะ คอยหยิบใส่ปากกินทีละ 3-4 เม็ด จนกว่าจะหมดก็ราว 20-30 เม็ด
                หนึ่งเดือนผ่านไป ท่านอาจารย์บอกผมว่าต่อไปจะไม่พบกันที่คลินิกอีกเพราะท่านหายจากโรคเบาหวานแล้ว ยาจากคลินิกที่เคยกินวันละ 3 เวลาก็เลิกกัน แต่ท่านอาจารย์คงกินมะแว้งต่อไปอีกเดือนเศษที่สุดก็แน่ใจว่าหายขาดจากโรคเบาหวานจริง ๆ นอกจากไม่ต้องกินยาอีกแล้วสายตาก็กลับมาดีขึ้นจนเลิกสวมแว่นสายตาอีกด้วย ท่านอาจารย์เคยปรารถว่าป่วยด้วยโรคเบาหวานมา 22 ปี เสียเงินรักษาไปมากมาย พอที่จะนำไปซื้อบ้านและที่ดินได้แห่งหนึ่งกับซื้อรถเก๋งขนาดกลางได้อีกคัน แต่กลับหายป่วยด้วยการกินมะแว้ง ที่ใช้เงินซื้อไม่ถึง 500 บาท
                เมื่อหายสนิทจริงแล้ว ท่านอาจารย์ได้ถวายสังฆทานด้วยกล้วยน้ำว้า 1 หวีกับน้ำสะอาด 1 ขวด อุทิศส่วนกุศลแก่ผู้คิดค้นพบตำรายานี้
                ปลายปี 2526 ผมย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพฯ ครอบครัวของเราเช่าบ้านอยู่ย่านเชิงสะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ด้านฝั่งธนบุรี เหตุผลที่เราอยู่ย่านนั้นเพราะใกล้ที่ทำงานและที่เล่าเรียนของลูก ๆ อีกประการหนึ่ง     คุณยุวดีน้องสะใภ้ของผมรับอาสาทำอาหารส่งปิ่นโตให้เธอทำกับข้าวอร่อยรับรองคุณภาพได้ เพราะคนในครอบครัวของเธออ้วนท้วนเกือบทุกคน เว้นแต่ลูกสาวคนเดียว
                ความอ้วนท้วนของคนไม่ใช่เครื่องรับรองสุขภาพ จึงไม่แปลกที่น้องะใภ้ของผมจะมีโรคที่น่ากลัวอยู่หลายประเภท เช่น ความด้นโลหิตสูง และโรคเบาหวาน
                ผมจึงแนะนำเธอให้ลองกินยามะแว้งแก้เบาหวาน ตามวิธีที่ท่านอาจารย์สถิต เสมานิล เคยกินได้ผลมาก่อน เธอก็หาซื้อมะแว้งจากตลาดวงเวียนใหญ่มากินตามที่ผมแนะนำ ไม่กี่สัปดาห์ เธอไปหาหมอประจำที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งและขอให้เจาะเลือดตรวจหาน้ำตาลในเลือด ครั้นผลการตรวจออกมาปรากฏว่า อัตราน้ำตาลลดลงมากจากที่เคยสูง 300 เศษ เหลือไม่ถึง 200 เธอกินมะแว้งเรื่อยมาจนอัตราน้ำตาลอยู่ระดับ 100 เศษ ๆ ทุกวันนี้เธอไม่ต้องกินยาหรือไปหาหมอรักษาโรคเบาหวานแล้วเพียงแต่นาน ๆ ครั้ง สักเดือนครึ่งเดือนก็ซื้อมะแว้งมากินครั้ง เธอใช้วิธีเคี้ยว ๆ กลืนกิน   เธอเก่งมากที่เคี้ยวมะแว้งที่ทั้งขมทั้งเฝื่อนกินได้ง่าย ๆ เธอบอกว่าตอนเคี้ยวอาจขมและเฝื่อนจริงแต่เมื่อกลืนผ่านลำคอลงไปแล้ว ทำให้คอโล่งหวานลื่น แก้ไอแก้เจ็บคอดีมาก ๆ
                ส่วนความดันโลหิตสูงนั้น เมื่อเธอไปเข้าฝึก “รำมวยจีน” แล้วไม่กี่เดือนน้ำหนักลดราว 20 กิโลกรัม ความดันโลหิตลดลงมากจนไม่เกิดอาการปวดหัวบ่อย ๆ อย่างก่อน ๆ แล้วครับ
                ช่วงปี 2540 – 2542 ผมรับราชการที่กรมทะเบียนการค้า คุณ(พี่) มานิต จิตตะสิริ เพื่อนข้าราชการอาวุโสอายุ 70 เศษ ซึ่งรู้จักชอบพอกับผมมานานปี มักแวะมาเยี่ยมเยือนเนือง ๆ เดือนละ 1–2 หน ผมทราบดีว่าคุณ(พี่) มานิตเคยเป็นครูฝึกและหัวหน้าค่ายมวย “เกียรติเมืองยม” ที่โด่งดังเมื่อ 30-40 ปีก่อน มีลูกศิษย์เป็นยอดมวยชื่อดังฝีมือดี เช่น สมเกียรติและรักเกียรติ เกียรติเมืองยม เป็นต้น ถึงจะอายุมากและเลิกค่ายมวยไปนับสิบปี แต่รูปร่างของคุณ(พี่) มานิตยังดูแข็งแรงเหมือนตอนหนุ่ม ๆ แต่พอผมปรารภเป็นเชิงถามว่า
                “พี่แข็งแรงอย่างนี้ ไม่มีโรคอะไรเลยใช่ไหม ?
                “นอกจากเบาหวานแล้ว โรคอื่นไม่มี”
                ผมจึงแนะนำให้คุณ(พี่)มานิตลองกินมะแว้งแก้โรคเบาหวานตามวิธีที่ท่านอาจารย์สถิต เสมานิล เคยกินจนโรคนี้หายเด็ดขาดมาแล้ว
                คุณ(พี่)มานิตหายหน้าไปหลายเดือน จนวันหนึ่งคุณวิภาดาภรรยาซึ่งรับราชการแต่อยู่ในส่วนภูมิภาค แวะมาราชการที่กรม และผมพบเธอจึงถามมาหาคุณ(พี่)มานิตสามีของเธอว่า หายหน้าไปไหนเธอหัวเราะแล้วตอบว่า “พี่มานิตกินมะแว้งไม่ได้ คายทิ้งหมด  บอกว่าขมเหลือเกิน จึงอายท่านรองฯ ไม่กล้ามาหา กลัวถูกถาม”
                ผมทั้งขำทั้งนึกนิยมคุณธรรมน้ำใจลูกผู้ชายของคุณ(พี่)มานิต จึงบอกฝากภรรยาไปว่า ถ้ากินขมไม่ได้ก็อย่าเคี้ยว ให้ใช้วิธีกลืนกินแบบกินยาลูกกลอนครั้งละ 3-4 เม็ด เอาน้ำกรอกกลั้วคอให้กลืนสะดวก ๆ ดีกว่าเกือบสองเดือนต่อมา คุณ(พี่)มานิตยิ้มเผล่มาหาผมในเช้าวันหนึ่ง บอกว่าหมอที่เคยตรวจรักษาโรคเบาหวานยืนยันว่า คุณ(พี่) มานิตหายจากโรคเบาหวานแล้วจึงมาขอบคุณผม ผมบอกให้ไปทำสังฆทานกล้วยน้ำว้า 1 หวีกับน้ำดื่ม 1 ขวด เช่นเคยครับ
                เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมได้รับเชิญให้ไปจุดไฟฌาปนกิจศพบิดาของผู้ร่วมงานที่เมรุวัดเสมียนนารี เมื่อเสร็จภารกิจ ผมรู้สึกหิวและเห็นว่าการจราจรกำลังติดขัด จึงชวนพรรคพวกแวะร้านขายก๋วยเตี๋ยวแถวข้างวัด ขณะเราอยู่ในร้าน ผมปรารภว่าถ้าผมรู้ก่อนว่าผู้ตายป่วยด้วยโรคเบาหวานละก็คงจะแนะนำให้ลองกินมะแว้งแก้โรคเบาหวาน แล้วผมก็อธิบายวิธีกินให้ฟัง มีคนสนใจเพราะญาติใกล้ชิดของเขากำลังป่วยด้วยโรคนี้ ผมจึงควักคำแนะนำการกินมะแว้งที่จัดพิมพ์ไว้มาให้ คนขายก๋วยเตี๋ยวขอยืมไปถ่ายเอกสารไว้ด้วย
                ต้นปี 2544 ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณป้าท่านหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักตัวท่านแนะนำตนเองว่าชื่อ “ป้าบุญมา” บ้านอยู่แถวพระโขนง-อ่อนนุช มีลูกสาวเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณป้าเล่าว่าได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเสมียนนารี และได้รับคำแนะนำการกินมะแว้งแก้โรคเบาหวานจากเจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยว คุณป้าจึงซื้อมะแว้งมา 1 กิโลกรัม แต่มีปัญหาจึงโทรศัพท์มาปรึกษา ปัญหาของคุณป้าก็คือเคี้ยวกินมะแว้งไม่ได้เพราะเหลือแต่ฟันหน้า ฟันเคี้ยวฟันกรามอำลาไปหลายปีแล้ว ผมแนะนำให้กลืนสด ๆ แบบคุณ(พี่) มานิต
                คุณป้าบุญมาร้อง อ้อ ๆ แต่อีก 3 วันต่อมา คุณป้าโทรศัพท์มาหาผมแต่เช้า ปรับทุกข์ว่าป้ากลืนกินมะแว้งสด ๆ แล้ว แต่มันก็ถ่ายออกมาเกือบสด ๆ เป็นเม็ด ๆ หมดเลย ผมจึงแนะนำใหม่ให้ใช้วิธีนึ่งมะแว้งพอสุกแล้วค่อยกิน
                อีกครึ่งเดือนคุณป้าบุญมาก็แจ้งข่าวดีว่าอัตราน้ำตาลในเลือดของคุณป้าได้ลดลงจาก 300 เศษ เหลือไม่ถึง200 แล้ว ผมก็แสดงความยินดีและแนะนำว่า เมื่อมาถูกทางแล้วก็ให้กินต่อไปจนกว่าจะหายครับ
                ผ่านไปอีกเดือนเศษ คุณป้าบุญมาโทรศัพท์มาด้วยเสียงอ่อย ๆ ปรับทุกข์ว่าน้ำตาลในเลือดของป้าลงมาเหลือร้อยหนึ่งแล้วนะ ทำไมวันนี้มันกลับขึ้นไป 300 ล่ะ ? โธ่ ผมจะไปรู้เหรอะ
                แต่ผมไม่ได้พูดอย่างที่นึกในใจนี่หรอกนะ การทำงานสังคมสงเคราะห์ต้องใจเย็น ๆ ซีครับ ผมจึงตอบว่า
                “คุณป้า ผมไม่ใช่หมอนะครับ คุณป้าไปหาหมอให้ท่านตรวจหาสาเหตุดีกว่า คุณป้ากินอะไรผิดสำแดงรึเปล่าล่ะครับ ?
                คุณป้านึกสักพักก็รำพึงดัง ๆ ว่า “ป้ากินข้าวหลามจิ้มนมข้นไป”
                ผมจึงฝากข้อพึงคิดคำนึงว่ามะแว้งไม่ใช่ยาเทวดา ดังนั้น เมื่อกินมะแว้งจนน้ำตาลในเลือดลดลงอยู่ในอัตราปกติที่ถือว่าหายป่วยจากโรคเบาหวานแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะกลายเป็น “ผู้วิเศษ” ที่จะกินของแสลงโรคใด ๆ อะไรอีกก็ได้ ยิ่งคนที่มีประวัติการเจ็บป่วยเรื้อรังมาก่อนเปรียบเสมือนวัตถุที่เคยแตกร้าว เราปะติดกลับมาใช้ จะให้มีสภาพแข็งแกร่งเหมือนของที่ไม่เคยแตกร้าวย่อมไม่ได้
                เมื่อ 4-5 ปีก่อน ผมเคยเล่าเรื่องการกินมะแว้งรักษาโรคเบาหวานหายตามที่คุณ(พี่)มานิต จิตตะสิริ         กินได้ผลนั้นให้เพื่อนพ่อค้าที่ย่านเชียงกง ถนนบรรทัดทองฟัง แต่ไม่ใคร่มีใครสนใจ มิหนำซ้ำยังมีผู้ไปซื้อมะเขือพวงจากตลาดสดมากิน เพราะผู้ซื้อและผู้ขายต่างไม่รู้จักมะแว้ง
                แต่เมื่อต้นปี 2544 คุณนภดล (เอี่ยม) เจริญพจน์วัจนะ เสี่ยทายาท “เต็กเฮงล้ง” โทรศัพท์ถึงผมว่า        “คุณเตี่ย” ของเขามีอาการเบาหวานกำเริบถึงขนาดเมื่อออกไปกลางแดดแล้วกลับเข้ามาในร้านจะมีอาการตามืดมองไม่เห็นอะไรอยู่พักใหญ่ จึงอยากจะลองกินมะแว้งตามที่ผมเคยแนะนำเมื่อหลายปีก่อนนั้น
                ผมคบหาเสี่ยเอี่ยมมาหลายปี จึงรีบไปหาซื้อมะแว้งที่ตลาด อ.ต.ก. ซึ่งมีคุณป้าคนหนึ่งอยู่จังหวัดนครปฐม นำมาขายเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซื้อทีละ 5-6 กิโลกรัม ได้มะแว้งมามากพอสำหรับคนป่วยเบาหวาน 6-7 คนกินได้ 1 สัปดาห์ ดังนั้น นอกจากผมจะนำไปให้เสี่ยเอี่ยม 1 กิโลกรัมแล้ว ที่เหลือผมจึงมอบให้ เสี่ยเม้ง คุณอัครพงศ์ อัครเกษมพร กรรมการศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง ปทุมวัน นำไปแจกจ่ายเพื่อนพ่อค้าในย่านนั้นซึ่งป่วยเป็นโรคเบาหวานอีก 6-7 คนด้วย
                ผมจัดหาและส่งมะแว้งให้ไปเดือนเศษ ได้รับแจ้งข่าวดีว่า แต่ละคนได้ผลดีมีอัตราน้ำตาลในเลือดลดลงตามลำดับ บางคนเคยมีอัตราน้ำตาลสูงถึง 346 หลังกินมะแว้ง 2 สัปดาห์ อัตราน้ำตาลลดลงเหลือราว 200 กว่านิดหน่อย  กินมะแว้งครบเดือน อัตราน้ำตาลเหลือต่ำกว่า 200 ผมส่งมะแว้งให้ทุกสัปดาห์ราว 2 เดือน ถ้าผู้ป่วยกินมะแว้งตามปริมาณกำหนดติดต่อกันทุกวันก็ควรหายป่วยได้เช่นเดียวกับท่านอาจารย์สถิตย์ เสมานิล ผมมีภารกิจสำคัญต้องไปอเมริการ่วมเดือน กลับมามีงานรออยู่มากมาย ไม่ได้ใส่ใจถามเรื่องนี้
                วันหนึ่ง เมื่อผมถามเสี่ยเม้ง เขากลับบอกผมว่า “ท่านรองฯ ช่วยเขียนเรื่องยาจำพวกนี้ให้ด้วย ผมจะหาคนใจบุญช่วยจัดพิมพ์เผยแพร่ จะได้ช่วยเหลือคนให้หายเจ็บป่วยด้วยเงินทองไม่กี่บาท”
                นี่ไงครับ ที่ผมกำลังปั่นต้นฉบับอยู่นี่แหละครับ ประสบการณ์ตรงจากชีวิตของผมจริง ๆ
 
หมายเหตุ ช่วงที่ท่านอาจารย์สถิต กินมะแว้งรักษาโรค “เบาหวาน” อยู่นั้น ผมสังเกตเห็นว่าท่านอาจารย์กินอาหารเปลี่ยนสูตรไปบ้าง กล่าวคือ ปกติท่านจะกินข้าวสวยมื้อละประมาณจานครึ่ง อาจถึง 2 จานเมื่อมีกับข้าวถูกใจ ช่วงนี้ท่านสั่งผมตักข้าวเพียงครึ่งจานแม้มีกับที่ท่านโปรดปรานก็เพิ่มเป็นข้าวค่อนจานไม่เต็มอีก
                อาจารย์สถิตกินกับข้าวเปลืองขึ้น บางทีถึงกับกินไก่ตอนสับเปล่า ๆ จิ้มเต้าเจี้ยวที่ร้านข้าวมันไก่ สลัดผักก็ชอบเป็นพิเศษ ผลไม้ที่กินประจำคือกล้วยน้ำว้า
                ผมเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อสิ้นบุญอาจารย์แล้วว่า การกินข้าวลดปริมาณลง เท่ากับลดแป้งในอาหาร แป้งที่จะแปรเป็นน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายก็ลดลงด้วย ดังนั้นอาจารย์สถิต เสมานิล จึงหายจากโรคเบาหวานได้รวดเร็วและเด็ดขาด
 
 
 
                                   เรื่องที ๒   พิชิตต่อมลูกหมากโต
 
                “เมื่อประมาณเกือบ 10 ปีมาแล้ว ผู้เขียนมีอาการปวดในท่อปัสสาวะมาก ถ่ายปัสสาวะไม่ค่อยออก นอกจากจะถ่ายออกมาเป็นหยด ๆ แล้ว ภายในท่อปัสสาวะก็ปวดมาก
                จึงต้องไปพึ่งหมออีก ก็เป็นหมอเจ้าเก่า คือ คุณหมอสุดชาย ปันยารชุน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ (ในขณะนั้น) ซึ่งเป็นผู้มีเมตตาต่อผู้เขียนเป็นอย่างดีมาช้านาน
                คุณหมอได้ตรวจแล้วบอกว่า เป็นโรคต่อมลูกหมากโต แต่เป็นในระยะเริ่มต้น ควรจะผ่าตัดเอาออกเสียเลย ผู้เขียนก็ต่อรองว่าตอนนั้นอีกสองวันจะเข้าพรรษา รอให้เข้าพรรษาแล้ว จะสัตตาหะมาผ่า ซึ่งทางหมอบอกว่าโรคนี้ยังไม่มียารักษา มีแต่การผ่าตัดอย่างเดียวเท่านั้น
                ก่อนที่จะกลับสำนักที่ราชบุรี ก็ได้โทรศัพท์ไปคุยกับท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ซึ่งเป็นที่เคารพของผู้เขียน ทุกครั้งที่โทร.ไป ท่านก็มักจะถามถึงสุขภาพอยู่เสมอ
                ครั้งนี้ก็เช่นกัน พอโทร. ถึงท่าน ท่านก็ถามถึงสุขภาพก่อนอื่นเหมือนจะรู้ใจ ก็ได้กราบเรียนท่านว่า ได้มาโรงพยาบาลเพื่อจะผ่าตัดต่อมลูกหมากโต ท่านก็ได้พูดขึ้นทันทีว่า
                เมื่อสองวันมานี้ คุณโยมยุพนา ธรรมโกวิท ได้บอกวิธีรักษาต่อมลูกหมากโตให้โดยใช้ผักบุ้งจีนกับน้ำผึ้งแท้ท่านถามว่าจะลองดูไหม ? ผู้เขียนก็ได้ตอบท่านไปโดยไม่ลังเลว่าเต็มใจที่จะลองดู เพราะมั่นใจว่าถึงโรคต่อมลูกหมากโตจะไม่หาย ก็คงจะไม่เป็นอะไร เพราะทั้งผักบุ้งจีนและน้ำผึ้งก็เคยฉัน (กิน) อยู่แล้ว
                                       
                                               ผักบุ้งแท้                               น้ำผึ้งแท้
                ก่อนกลับที่พักจึงได้ซื้อผักบุ้งจีนมาด้วย 1 กิโล โดยแบ่งกินเป็น 3 วัน กินวันละ 1 มื้อก็หมดพอดี พอมาถึงกุฎิก็เริ่มทำกั้น โดยเอาผักบุ้งจีนไปล้าง แล้วตัดเอารากออก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่กาน้ำต้ม โดยใส่น้ำเพียงเล็กน้อย พอสุกแล้วยกลง ตักออก เอาน้ำผึ้งแท้ใส่ลงไป 2 ช้อนแกง คนให้เข้ากันดีแล้วก็ฉัน(กิน) จนหมดทั้งเนื้อทั้งน้ำ เหลืออีกสองส่วนก็เอาไว้ฉัน(กิน) ในวันต่อไป
                พอตอนเช้ามืดตื่นขึ้นมาปัสสาวะ เอ๊ะ ! รู้สึกว่าถ่ายคล่องขึ้นอาการปวดแสบในลำกล้องก็น้อยลง ดูน่าจะเข้าท่า ก็เลยทำฉัน(กิน) อีกสองวันก็หายเป็นปกติ เลยสั่งให้เขาซื้อมาอีก 1 กิโล ทำฉัน(กิน) เช่นเดิมอีก 3 วัน ก็หายมาเป็นเวลา 1 ปี ก็เริ่มมาเป็นอีก ก็ทำฉัน(กิน) อย่างเดิมก็หายอีก จนครั้งที่สามเมื่อ 2 ปีมานี้เริ่มจะเป็นอีก ก็ทำฉัน (กิน) อีกก็หายมาจนบัดนี้
                คุณหมอได้กล่าวว่า ชายที่สูงอายุจะต้องเป็นโรคต่อมลูกหมากโตแทบทุกคน และในปัจจุบันยารักษาโรคนี้ก็ยังไม่มี มีแต่ยาระงับปวดทางหายของโรคนี้จึงมีทางเดียวคือผ่าตัดเอาออกเท่านั้นเอง
                ข้อควรอนุสติคือ น้ำผึ้ง จะต้องเป็นน้ำผึ้งแท้ ไม่ใช่น้ำผึ้งมิ้น น้ำผึ้งที่แท้และราคาถูก คือ น้ำผึ้งของโครงการหลวง มีขายตามร้านค้าทั่วไป”
                วันเสาร์และอาทิตย์ ผมจึงแปรการกินอาหารคนเป็น “อาหารเต่า” คือกินผักบุ้งต้มใส่น้ำผึ้งตลอด 2 วัน โดยภรรยาของผมไปซื้อผักบุ้งจีนวันละ 1 กิโลกรัม นำมาล้างสะอาด ตัดรากทิ้งไป แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ ยาวราว 1 เซนติเมตร ใส่หม้อต้มโดยมีน้ำสัก 40-50 ซี.ซี. ปิดฝาให้เดือด 2-3 นาที แล้วยกลง ไอร้อนจะอบให้ผักบุ้งซึ่งสุกง่ายอยู่แล้วพากันสุกทั่วถึง แล้วใส่ น้ำผึ้งแท้ลงไป 2-3 ช้อนโต๊ะ คน ๆ จนเข้ากันดีแล้ว ผมก็แบ่งมากิน 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์
                เช้าวันจันทร์ ผมตื่นเช้าเข้าห้องส้วมก็รับรู้อย่างดีใจว่า  อาการก๊อกอุดตัน และก๊อกรั่วหยด หายไปอย่างน่ามหัศจรรย์
                ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว รายงานผลของการกินยาพระบอก ให้ภรรยาทราบว่า ยาขนานนี้ดีกว่า ยาผีบอกแน่นอน
                พระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) เมื่อเป็นฆราวาสได้ศึกษาจากประเทศอังกฤษ กลับมารับราชการในราชสำนักสมัยรัชกาลที่ 6 ท่านมีความก้าวหน้าในราชการอย่างรวดเร็วจนได้ดำรงยศถึงชั้น พระยานรรัตน์ราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) เมื่ออายุเพียง 28 ปี แต่ก็สิ้นรัชกาลในปีต่อมา ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ นั้น พระยานรรัตน์ราชมานิตได้อุทิศตนอุปสมบท ณ วัดเทพศิรินทราวาส ตลอดอายุขัย
                วัตถุมงคลต่าง ๆ ที่ท่านสร้างไว้มีทั้งเหรียญรูปเหมือนของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถระ) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์กับเหรียญรูปเหมือนของตัว “ท่านเจ้าคุณนรฯ เอง ล้วนเป็นที่ต้องการของนักสะสมวัตถุมงคลมาก ๆ ราคาเรือนแสนขึ้นไปก็มี
 
เรื่องที ๓ รักษา “เก้าท์” ด้วยน้ำเปล่าวันละลิตร
 
                แม้โรคเก้าท์จะไม่ร้ายแรงเท่าโรคหัวใจ แต่เวลาโรคเก้าท์กำเริบก็อาจทำให้ผู้ป่วย “เสียฟอร์ม” ได้ ผู้ป่วยโรคเก้าท์ส่วนใหญ่จะเกิดอาการขัดบวมตามข้อกระดูกต่าง ๆ จนบางคนสวมรองเท้าหนังหุ้มส้น/คัทชูไม่ได้ บางท่านเป็น ผู้หลักผู้ใหญ่ออกงานสำคัญจำเป็นต้องใส่ถุงเท้าสวม รองเท้าแตะ ดูไปคล้ายขุนนางญี่ปุ่นโบราณ
                คุณศุภการ น้องชายของผมมีประสบการณ์ทรมานจากโรคเก้าท์นานนับสิบปี เสียเงินค่ารักษาโรคนี้ไปมากมายก็ไม่หายขาด เพียงแต่คุมอาการไว้ไม่ให้กำเริบ คืออย่าให้อัตรากรด “ยูริก” ขึ้นสูงเกินกว่า 4 บางทีออกไปกินโต๊ะจีนในงานเลี้ยงซึ่งยากที่จะพ้นรัศมีอาหารแสลงโรคเก้าท์ ทั้ง เป็ด ไก่ เครื่องในสัตว์ ถ้าหลังอาหารและก่อนนอนไม่กินยาคุมไว้ละก็ ตื่นเช้ารุ่งขึ้นแม้บุญไม่ได้หล่นทับ แต่ “ตีนก็บวม” ละครับ
                เมื่อ 2 ปีที่แล้ว (2543) คุณภากร พิริปุญโญ ผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อยู่ซอย 7 (อารี) ถนนพหลโยธิน เขียนจดหมายถึงผมว่า ตนป่วยเป็นโรคเก้าท์ เผอิญวันหนึ่งลืมพกยาติดตัวมาขณะไปธุระต่างจังหวัด     รุ่งขึ้น “ตีนบวม” เดชะบุญที่พกหนังสือ “ฝึกพลังลมปราณ” ที่ได้รับจากผมไปด้วย จึงอ่านและลองฝึกฯ ตามที่ผมสอนไว้ในหนังสือฯ ปรากฏว่ารุ่งขึ้น คุณภากรสามารถสวม “คัทชู” ได้แล้ว
                ปีกลาย (2544) แพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี ตรวจแล้ววินิจฉัยว่า คุณศุภการต้องผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดใหญ่ในหัวใจ เขาก็เข้าไปนอนรอหมอ (ชำแหละ) แต่หมอสั่งให้กลับบ้านไปเตรียมตัวมาใหม่ คือต้องลดน้ำหนักลงราว ๆ 10 กิโลกรัม และหัดหายใจให้มีพลังเพื่อว่าหลังผ่าตัดคนไข้จะสามารถบ้วนเสมหะออกได้สะดวก
                พอดีช่วงนั้นผมกลับจากต่างประเทศ ผมจึงไปสอนน้องชายลดน้ำหนักด้วยการ “ฝึกพลังลมปราณ” แทนการไป “จ๊อกกิ้ง” หรือเดินเร็ว ๆ เพราะผู้ที่เป็นโรคหัวใจถึงขั้นนี้ ขืนไปออกกำลังเหนื่อย ๆ อาจ “ช็อค” ไปได้ การ “ฝึกพลังลมปราณ” จะไม่เหนื่อยเกินกำลังหรือบาดเจ็บ เพราะขณะฝึกฯ ก็ยืนอยู่กับที่และเคลื่อนไหวช้า ๆ
                อีก 3 สัปดาห์ต่อมา คุณศุภการก็เข้ารับการผ่าตัดหัวใจได้โดยน้ำหนักลดลงและสภาพร่างกายเป็นที่วางใจของแพทย์ ปัจจุบันคุณศุภการมีสุขภาพปกติ
                เมื่อวันตรุษจีน ผมกับน้อง ๆ และครอบครัวมาชุมนุมญาติกินข้าวกัน ผมสังเกตเห็นว่าคุณศุภการกินเป็ดกินไก่และแกงจืดเครื่องในอย่างหน้าตาเฉย ผมก็หลงภูมิใจที่ได้สอนน้องชายฝึก “พลังลมปราณ” จนพลอยทำให้เขาหายจากโรคเก๊าท์ด้วย แต่เมื่อถามเขาว่า “โรคเก๊าท์หายแล้วเหรอ ?” น้องชายตอบว่า “หายตั้งหลายปีแล้วละ เดี๋ยวนี้กินได้หมดทั้งเครื่องในหมู เป็ด ไก่ เพียงแต่อย่าไปท้าทายมันเกินไป คืออย่ากินทุกมื้อหรืออย่ากินครั้งละมากๆ เกินเหตุเท่านั้นเอง !
                นี่เป็นข่าวดีปีใหม่จีนสำหรับครอบครัวผมที่มีน้องชายหายจาก “โรคเก๊าท์” เพราะเท่าที่ทราบยังไม่เคยมีใครหายขาดจาก “โรคเก๊าท์” เพราะเท่าที่ทราบยังไม่เคยมีใครหายขาดจาก “โรคเก๊าท์” ผมจึงถามเขาว่าเขากินยาดีอะไรราคาเท่าไหร่ ?
                น้องชายของผมตอบหน้าตาเฉยว่า “กินน้ำเปล่าธรรมดานี่แหละ” ฟังแล้วก็งง ผมจึงขอคำอธิบายรายละเอียด เขาจึงอธิบายว่า
                                         
                ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ส่วนใหญ่ดื่มน้ำน้อย บางคนทั้งวันไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว แต่หลงเข้าใจว่าตนดื่มน้ำมากมายตลอดวัน แท้ที่จริงเขาดื่มน้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำส้ม ฯลฯ แต่ไม่ได้ดี่มน้ำ (water) แม้แต่หยดเดียว จึงไม่มี “น้ำ” ไปช่วยทำให้ “กรดยูริก” เจือจางลงเลย ซ้ำร้ายอาหารที่บริโภคเข้าไปแต่ละมื้อ ๆ อาจจะมีส่วนสร้าง “กรดยูริก” เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดอีก ดังนั้น ความเจ็บป่วยจึงคงเรื้อรังต่อไปไม่รู้จักหาย
                คุณศุภการจึงไม่ดื่มพวกน้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม เหล้า เบียร์ และไม่สูบบุหรี่ ตั้งหน้าตั้งตาดื่มน้ำสะอาดที่บัญญัติไว้ในหลักของ “สุขบัญญัติ” และดื่มน้ำสะอาดเพิ่มเติมอีกต่างหากวันละประมาณหนึ่งลิตร
                ผลปรากฏว่าหลาย ๆ เดือนผ่านไปเขาไปให้ตรวจเลือดได้ทราบว่าอัตราส่วนของ “กรดยูริก” ได้ลดลง และลดลงตามลำดับในคราวต่อ ๆ ไป จนกระทั่งมีอัตราต่ำกว่าระดับ 4 ตลอดมาหลายปีจนถึงปัจจุบัน
                ขณะนี้เขาจึงกินเป็ดไก่และเครื่องในสัตว์ได้อย่างเช่นคนปกติ แต่... ต้องดื่มน้ำสะอาดเพิ่มขึ้นกว่าปกติอีกหน่อยใน 2-3 วัน หลังจากกินของแสลงนั้นแล้ว
                ฟังดูเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์เหลือเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่องจริง อีกทั้งน้องสะใภ้อีกคนที่เคยป่วยด้วย “โรคเก๊าท์” เรื้อรังนานปี บัดนี้ก็หายป่วยด้วยวิธีดื่มน้ำเปล่าตามที่คุณศุภการแนะนำเธอนั่นเอง
                ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ! ลองดื่มน้ำดูแล้วจะรู้ดี ดื่มเพิ่มจากที่เคยดื่มปกติอีกวันละลิตร ๆ !
 






Copyright © 2010 All Rights Reserved.

เอ็กซ์ฟากรุ๊ป
โทร. 02-5384438 085-6898413 Fax. 02-5304938