แพทย์ทางเลือก ยุคใหม่
อ่านสุขภาพ จากการตรวจ ด้วยเทคโนโลยียุคใหม่
เทคโนโลยีในการตรวจสุขภาพก้าวหน้าไปมากในทุกวันนี้ แต่ถ้าไม่มีฝีมือก็คงอ่านค่าและตีความผลการตรวจอันล้ำยุคนั้น ๆ ไม่ได้
พลอากาศตรีนายแพทย์ขวัญชัย เศรษฐนันท์ เป็นผู้หนึ่งที่มีฝีมือดังกล่าว ความสามารถของหมอก่อประโยชน์ให้คนไข้และคนทั่วไปที่ใส่ใจในสุขภาพของตนอย่างมาก
คุณหมอจบแพทยศาสตร์จุฬาฯ ในพ.ศ.2517 เป็นหมอให้กองทัพอากาศตั้งแต่ พ.ศ.2518 และจบสูตินรีแพทยศาสตร์เมื่อปี พ.ศ.2523
แต่การที่หมอสมัยใหม่จะหันมาสนใจแพทย์ทางเลือกอย่างจริงจังนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดทั่วไป
“ผมสนใจธรรมชาติบำบัดเมื่อ 7-8 ปีก่อน เพราะคุณพ่อเสียด้วยโรคหัวใจ ทั้ง ๆ ที่กินยาอย่างดีที่สุด ไขมันปรกติ ความดันปรกติ ทุกอย่างดีหมด แต่หัวใจวายแล้วเสียเลย
...ต่อมาคุณแม่ผมเป็นอัมพาต เส้นเลือดในสมองแตก ไขมันกับความดันปรกติเหมือนกัน ผมกับพี่เขยช่วยกันดูแลท่านทั้งสองมาตลอด พี่เขยผมเป็นหมอที่โรงพยาบาลตำรวจ
...แล้วพี่เขยผมนี่ละหัวใจวายตายตอนอายุ 49 ตายก่อนคุณแม่ผมอีก
...ผมเลยเริ่มไม่เชื่อในการรักษาแบบที่ทำกันอยู่
...ตัวผมเป็นความดันสูงมาตั้งแต่อายุ 35 รักษาไม่หาย ความดันไม่ลง ตรวจไม่รู้เป็นเพราะอะไร บอกแต่ว่าเครียดอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่ออกกำลังกายตลอด กินผักเยอะ
...ตอนที่เริ่มไม่เชื่อ ก็ยังจับทางไม่ถูกว่าจะทำอย่างไร แต่ลองทานอาหารเสริมดู รู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น ก็คิดว่าสงสัยเราไม่ได้ขาดอาหาร แต่ขาดสารอาหาร อยากรู้จังว่าขาดอะไรบ้าง
...เลยเริ่มอ่านหนังสือโภชนาการ แรก ๆ ก็อ่านภาษาไทยเท่าที่มีในท้องตลาด แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ เพราะยังไม่มีทิศทาง
...ตอนหลังพี่สาวผมที่สามีเป็นหมอและเสียไปแล้ว มาชวนไปฟังคุณหมออารีย์ วชิรมโน เมื่อปี พ.ศ.2544 และพ.ศ.2545 ก็รู้สึกว่าวิธีนั้นใช่
...อาจารย์บรรยายถึงร่างกายคนเรา แนะให้เปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนอาหารที่กิน
...เช่นผมนี่ดูแลเรื่องอาหารมาตลอด ก็เข้าใจว่าเราทานอาหารห้าหมู่ก็โอ.เค.แล้ว
...แต่เอาเข้าจริงไม่ใช่ไขมันต้องเลือกกินไขมันที่ดี โปรตีนก็ต้องเลือกโปรตีนที่ดี คาร์โบไฮเดรตก็ต้องเลือกชนิดที่ไม่เป็นอันตรายคือคอมเพล็กซ์ คาร์โบไฮเดรต จากพืชผักผลไม้
...ถ้าเป็นซิมเพิล คาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง ข้าวขัดสี น้ำตาล จะเป็นอันตราย
...คือเราท่องอาหารห้าหมู่ แต่ไม่ได้ถูกสอนให้วิเคราะห์ลึกลงไปว่ามันมีทั้งที่ดีและไม่ดี
...เรากินโปรตีนครบ แต่โปรตีนที่กินนั้นดูดซึมหรือเปล่าไม่รู้ ดูดซึมได้ไม่หมดก็ไม่รู้ เมื่อดูดซึมไม่หมด ก็เอาไปใช้ได้ไม่ครบ
...เดี๋ยวนี้พอศึกษาลึกลงไป ผมต้องให้งดผลิตภัณฑ์นม นมมีโปรตีนหลายตัว ส่วนใหญ่คนย่อยได้ แต่มีตัวนึงเราย่อยไม่ได้ เลยไปกระตุ้นภูมิแพ้
...พออายุมากขึ้นจะเป็นภูมิแพ้ตัวเอง คือเป็นภูมิแพ้นานไป ภูมิจะหันมาทำลายตัวเอง
...ทั้งโลกละครับที่ย่อยไม่ได้ ฝรั่งเป็นโรคข้อกันเป็นแถวเลย ยิ่งอายุมากยิ่งข้อติดข้อเสีย เพราะภูมิต้านทานไปทำลายข้อ”
เมื่อเรากินอาหารที่แพ้เข้าไป หรือมีสารที่ย่อยไม่ได้ตกค้างในเลือดมาก ร่างกายจะสร้างแอนตี้บอดี้มาจับสารเหล่านั้น เรียกว่าอิมมูน คอมเพล็กซ์
อิมมูน คอมเพล็กซ์ (แอนตี้บอดี้ที่จับสารแปลกปลอมแล้ว) ต้องใช้เม็ดเลือดขาวมากินแล้วทำลายทิ้ง
“แต่พอร่างกายสร้างแอนตี้บอดี้มาก ๆ ภูมิต้านทานของร่างกายจะลดต่ำ เม็ดเลือดขาวที่จะมากินอิมมูน คอมเพล็กซ์เลยลดลงไป ทำให้มีอิมมูน คอมเพล็กซ์เหลือ
...พอเหลือก็ไปเกาะตามอวัยวะต่าง ๆ เกาะตรงไหน ก็จะดึงเม็ดเลือดขาวมาทำลายมันพลอยทำลายอวัยวะนั้นไปด้วยเรียกว่าภูมิทำลายตัวเอง
...ส่วนใหญ่ที่โดนหนักคือไตกับผิวหนัง บางคนเป็นมากฝ้าจะขึ้นหน้า
...ผมศึกษาเยอะมาก แล้วเริ่มปรับใช้กับตัวเอง เริ่มเปลี่ยนอาหาร คือกินผักมากขึ้น ทานทุกวัน และเกือบทุกมื้อ ความดันผมก็ลงเอง
...กินผลไม้ ลดแป้งลงเกือบหมด เกือบจะไม่กินน้ำตาลเลย ยกเว้นบางวันไปเฮฮากับเพื่อน
...ผักนี่กินผักสดเป็นหลัก ผักต้มกินน้อย เพราะต้องการเอนไซม์ซึ่งมีแต่ในผักสดเท่านั้น ผักที่ปรุงมาไม่มีเอนไซม์แล้ว
...เอนไซม์เป็นสารที่สำคัญมาก ๆ ถ้าไม่มีเอนไซม์วิตามินก็ทำงานไม่ได้
...ร่างกายสร้างเองได้ เท่าที่ตรวจเจอตอนนี้ มีประมาณ 3,000 ชนิด แต่เขาประมาณว่านี่ยังไม่ถึง 10%ที่ร่างกายผลิต
...ถึงอย่างนั้นก็มีเอนไซม์บางตัวที่เราสร้างไม่ได้ อยู่ในผักสดผลไม้
...พอศึกษาสักสี่ปี ผมก็มั่นใจพอที่จะไปคุยกับเพื่อนหมอด้วยกัน แต่เขาต่อต้านเพราะการเรียนแพทย์บางทีไปมุ่งเน้นที่อวัยวะนั้น ๆ นั่นคือการเรียนแพทย์ที่ลงลึกเกินไป
...โชคดีที่ผมเรียนสูติฯ มีข้อดีที่ต้องดูแลคนเป็นแม่ทั้งตัว ทำให้รู้สึกว่าการดูแลคนไข้จะดูเฉพาะอวัยวะเป็นส่วน ๆ ไม่ได้
...จริง ๆ หมอทุกคนฟังรู้ว่าการดูแลสุขภาพทั้งตัวหรือดูแลแบบองค์รวมฟังดูใช่ แต่คงต้านเพราะไม่อยากเรียนใหม่
...อย่างผมศึกษาแพทย์มา ก็ไม่ใช่ว่าดูหนังสือสองสามเล่มแล้วเข้าใจนะ ต้องศึกษาอยู่สี่ปีถึงจะมั่นใจพอ และอยากเอาไปใช้ในโรงพยาบาลที่ทำงาน
...ก็ไปคุยกับเจ้ากรมแพทย์และผู้ใหญ่ในโรงพยาบาลว่าน่าจะเปิดแผนกธรรมชาติบำบัดให้คนไข้มะเร็ง เพราะได้ผล
...ถ้าคนไข้ไม่มีเงิน แทนที่จะให้คีโม ให้เงินมหาศาล ก็ให้น้ำเกลือ ให้วิตามินซี เปลี่ยนอาหารซะ ทำโรงครัวอีกโรงให้เขา นั่นคือธรรมชาติบำบัด
...ผมไม่ได้เข้าไปเรื่องสมุนไพร เพราะไม่ได้ศึกษาทางนั้น ต้องยอมรับว่ารู้เรื่องนั้นน้อย แต่จะเน้นเรื่องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนวิธีการกิน ออกกำลังกาย กินน้ำให้ถูกต้อง ทำสมาธิ
...ผมไม่ได้ศึกษาเรื่องสมาธิ รู้แต่ว่าเมื่อไรจิตคุณสงบต่อมหมวกไตจะทำงานดีขึ้น หยุดหลั่งฮอร์โมนเครียด
...พอไม่มีฮอร์โมนเครียด เส้นเลือดก็ขยายตัว การไหลเวียนของเลือดก็ดีขึ้น ความดันก็ลง อวัยวะต่าง ๆ ทำงานดีขึ้น เพราะได้รับเลือดไปเลี้ยงพอ
...คอเลสเตอรอลก็ลด พอลดปั๊บ ภูมิคุ้มกันขึ้น แล้วร่างกายจะแข็งแรง นี่คือพื้นฐาน
...ฉะนั้นกายกับจิตต้องสมดุล จิตต้องเป็นนาย กายต้องเป็นบ่าว ถ้าจิตคุณดี ร่างกายคุณจะทำงานดีมาก
...ปรากฏว่าทางผู้ใหญ่ที่ไปคุยด้วยไม่มีใครรับเลย (ยิ้ม).
คุณหมอขวัญชัยจึงลาออกมาทำคลินิกธรรมชาติบำบัดที่บ้าน และศึกษาแนวทางนี้ต่อจนกระทั่งได้รับการทาบทามมาประจำที่ศูนย์เอชเอ็มซี บนตึก 253 อโศก
“เริ่มจากผมไปบรรยายเรื่องมะเร็ง แล้วเจอคุณหมอจักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ ที่ตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการกรมการแพทย์ทางเลือก
...ไม่นานหมอก็เชิญผมมาลองทำพาร์ทไทม์ที่เอชเอ็มซีอยู่ 7-8 เดือน ก่อนจะทำประจำได้ปีเศษนี่เอง
...ที่นี่มีหลายอย่างที่ผมไม่รู้และทึ่งมาก เช่นเครื่อง MRIT (Molecular Resonance Imaging Technology) เคยเห็นเมื่อสามปีที่แล้วในการประชุมแห่งนึง บริษัทผู้ผลิตเขามาเอง ก็สงสัยว่าจะเป็นจริงอย่างที่เขาคุยหรือ ว่าเห็นอวัยวะข้างในหมดเลย
ภาพ 3 มิติของหัวใจและหลอดเลือดจากการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง ซึ่งพบว่าหลอดเลือดโคโรนารีย์ด้านซ้ายปกติ
..ตอนนั้นไม่ได้สนใจหมอคนอื่น ๆ ก็ไม่เชื่อ แม้ว่าทางรัสเซียเขาจะใช้เครื่องนี้ตรวจสุขภาพนักบินอวกาศก็ตาม
...พอมาเห็นที่เอชเอ็มซี ผมก็ลองใช้ตรวจตัวเองดู ผลตรงกับที่รู้อยู่แล้วคือความดันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ มีปัญหาตับอ่อนนิดหน่อย มีปัญหาระบบย่อยอาหาร
...หลักการคือส่งคลื่นเสียงความถี่ต่ำไปกระทบอวัยวะแล้วสะท้อนกลับมา เครื่องก็วัดค่าคลื่นนั้น
...แต่ละคลื่นสามารถแยกได้ว่าเป็นโรคหรือมีอาการอย่างไรบ้าง ตรวจคนไข้บ่อย ๆ วินิจฉัยบ่อย ๆ ถามเขาว่าเป็นอย่างนี้หรือเปล่า อย่างนั้นหรือเปล่า ปรากฏว่าตรงกับที่อ่านค่าออกมาหมด ก็ชักเชื่อ
...อย่างคนไข้หนุ่ม ๆ ตัวเลขขึ้นว่าขี้ลืม ผมก็ถามว่าขี้ลืมเหรอ เขารับว่าใช่ เป็นประเภทความจำระยะสั้นเสีย
...บางคนวางกุญแจปุ๊บลืมแล้วว่าวางตรงไหน บางคนบอกว่าเข้าห้างแล้วต้องเดินมาล็อกรถใหม่ทุกครั้ง
...แต่อาการอย่างนี้แก้ได้ด้วยการปรับวิถีชีวิต กินอาหารเสริมความจำ คือน้ำมันปลา ทำให้เซลล์สมองได้รับอาหาร ผักช่วยเรื่องนี้ได้-แต่น้อย
...อาการที่ผมทึ่งว่าเครื่องไม่น่าจะตรวจได้ แต่กลับตรวจรู้คือมะเร็ง หรือต่อมลูกหมากโต หรือมีก้อนเนื้อ (ซีสต์) เช่น ในรังไข่ ในมดลูก เต้านม ดูค่าปุ๊บ เป็นถุงน้ำ มีก้อน
...ให้คนไข้ไปทำอัลตราซาวด์พิสูจน์ ก็พบจริง ๆ เราก็แนะนำได้ถูกว่าคุณต้องปรับปรุงเรื่องดื่มน้ำ เรื่องอาหาร มีน้ำย่อยน้อย ต้องกินอาหารยังไง
...ซีสต์นี่เป็นเรื่องฮอร์โมน ปรับปรุงอาหารแล้วฮอร์โมนจะปรกติเอง
...อย่างคนที่น้ำย่อยเสียทั้งหลาย ถามไปเถอะ ดื่มนมถั่วเหลืองทุกคน เพราะถั่วเหลืองมีสารต้านน้ำย่อย ทำให้ท้องอืด
...น้ำย่อยเสีย คือน้ำย่อยน้อยลง เอนไซม์ที่จะย่อยอาหารจึงน้อยลง
...คนที่ชอบนมถั่วเหลือง ควรดื่มไม่เกินวันละกล่อง 30 กรัมหรือ 240 ซีซี (8 ออนซ์)
...แต่ถ้ากินนมถั่วเหลืองแล้วยังกินเต้าหู้อีก อันตรายแล้ว เพราะจะไปหยุดการสร้างน้ำย่อย แล้วมีฮอร์โมนผู้หญิงเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งเต้านมได้ แล้วยังเป็นตัวการทำให้การทำงานของต่อมไธรอยด์ลดลง
...สังเกตคนที่กินมังสวิรัติ กินเต้าหู้มาก ๆ ซีดทุกคน เพราะไม่มีน้ำย่อยที่จะย่อยโปรตีนกับวิตามิน
...เมื่อย่อยไม่ได้ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารไปใช้ไม่ได้ โปรตีนลดลง วิตามินลดลง กินเสริมเข้าไปยังไงก็ไม่ไหว เพราะมีตัวคอยขัด ระบบการย่อยอาหารก็มีปัญหา”
การอ่านค่าเช่นนี้ไม่ใช่ใครก็อ่านได้ ประสบการณ์การเป็นหมอสูติฯ นาน 30 กว่าปี คือรากฐานที่คุณหมอนำมาผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ศูนย์เอชเอ็มซี จนเชี่ยวชาญในการอ่านค่าเหล่านั้นในเวลาอันรวดเร็ว
“คือพอเราเป็นหมอ เวลาอ่านเรื่องโปรตีน เรื่องระบบย่อยอาหาร ผมนึกภาพออกว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นอย่างไร
...ถ้าไม่ได้เรียนแพทย์มา จะนึกภาพไม่ออก ความเข้าใจจะไม่เหมือนกัน กายเป็นหมอทำให้ศึกษาเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ใช่ไม่ใช้เวลา ผมใช้เวลา 7-8 ปี นานพอ ๆ กับที่เรียนแพทย์ แล้วตอนนี้ผมก็เชื่อว่ารู้น่าจะยังไงไม่ถึง 10% ของความรู้ทั้งหมด”
การตรวจสุขภาพจะมีสองส่วน นอกจากใช้เครื่อง MRIT แล้ว ยังเจาะเลือดหนึ่งหยดที่ปลายนิ้วมาส่องกล้องดูที่กำลังขยาย 400 เท่า ว่าคุณภาพเลือดเป็นอย่างไร เรียกว่า Live Blood Analysis
ทั่วไปแล้วจะต้องเห็นเซลล์เม็ดเลือดแดงกระจายเป็นเม็ด ๆ แต่คนยุคปัจจุบันมักจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงจับตัวเป็นแถวซ้อนกันแน่น
เมื่อเม็ดเลือดแดงวัยอ่อนสามารถสร้างโปรตีนที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเม็ดเลือดแดงครบแล้วโดยเฉพาะ Hemoglobin นิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะถูกกำจัดไป
ในนั้นยังมีสารโลหะหนักที่สะท้อนแสงแวววาวเรียกอีกอย่างว่า “คริสตัล” ถ้ามีสีแดงหรือขาว แสดงว่าได้รับจากมลภาวะ
แต่ถ้าเป็นสีเหลืองแสดงว่าไม่ได้ถ่ายท้องช่วงเช้า ทำให้สารพิษในลำไส้ดูดซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือด
“ก่อนเจ็ดโมงเช้านั้นสำคัญ เพราะร่างกายดีทอกซ์ตัวเอง ถ้าเขากวาดพิษไปกองไว้แล้วไม่ได้กำจัดออกไป พิษนั้นจะย้อนกลับเข้ามาใหม่ ถึงจะขับถ่ายเวลาอื่น ก็ยังย้อนกลับมาได้
...อย่างเห็นเม็ดเลือดแดงเข้าแถวซ้อนกัน ก็รู้ได้เลยว่าค่าเลือดเป็นกรด
...เลือดนี่ต้องเป็นประจุลบ ค่า pH(Hydrogen lon) ประมาณ 3.4 แล้วเม็ดเลือดจะผลักกันเอง กระจายตัวได้ดีเลือดไหลเวียนในหลอดเลือดง่าย
...แต่ถ้ากินแป้งมาก กินโปรตีนจากเนื้อสัตว์มาก จะมีประจุบวกเยอะ ทำให้เม็ดเลือดแดงบางเม็ดเป็นบวก บางเม็ดเป็นลบ มีแรงแม่เหล็กดูดติดกัน เลือดอย่างนี้จะไหลไปไหนก็ไม่ดี
...แล้วถ้าเลือดเป็นกรดอย่างนี้นาน ๆ คุณตาย ร่างกายเลยแก้ด้วยการดึงแคลเซียมออกมาจากกระดูกเพื่อให้เลือดเป็นด่าง
...ยิ่งเป็นกรดมาก ก็ยิ่งดึงแคลเซียมออกมามาก กระดูดคุณก็พรุนสิ
...อีกโรคที่การตรวจเลือดแบบนี้บอกได้ค่อนข้างดีว่าเป็นหรือเปล่าคือ Leaky Gut หรือลำไส้รั่ว
...ปรกติเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้จะติดกันแน่น แต่พอเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด กินเร็ว กระเพาะก็ส่งต่ออาหารโมเลกุลใหญ่ ๆ ไปให้ลำไส้ นานเข้าช่องระหว่างเซลล์ผนังเยื่อบุลำไส้เลยหลวม
...อาการหลวม ๆ นี่ละที่เรียกว่าลำไส้รั่ว
...โมเลกุลใหญ่ ๆ ของอาหารบางชนิดที่ผ่านช่องระหว่างเซลล์นี้ไปได้ โดยเฉพาะโปรตีนที่ไม่ย่อย พอเข้าไปในเลือดจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ไปกระตุ้นให้ภูมิต้านทานของเราทำงาน ระบบในร่างกายก็รวน ผิดปรกติไป”
คุณหมอขวัญชัยสรุปสั้น ๆ ว่า อาการผิดปรกติของคนยุคปัจจุบันมาจากปาก จึงต้องแก้ที่ปาก
“ปรับอาหารให้เป็นด่างคือกินผักเยอะมาก ๆ งดนม ชีส ถั่วเหลือง
...คุณรู้มั้ยว่าในผักผลไม้ทุกชนิดมีโปรตีนครบ ถ้ากินผักและผลไม้ได้หลากหลายชนิด แล้วทานโปรตีนเช่นจากถั่วบางชนิด จากปลา สัตว์น้ำ เนื้อสัตว์อื่น ก็ได้โปรตีนครบ
...ถ้าสั่งอาหารข้างนอกกินอะไรก็ได้ที่มีผักเยอะ ๆ 1 ชาม ผัดสดได้ยิ่งดี แล้วค่อยทานข้าว หรือเนื้อสัตว์ แต่อย่าทานเยอะ
...เนื้อสัตว์ทั้งวันกินแค่ 1 ฝ่ามือคุณก็พอ ข้าวแต่ละมื้อทานแค่ 1 ฝ่ามือก็พอ ราว 100 กรัม หรือ 400 แคลอรี
...อย่ากินของทอด ของผัด ของหวานกับขนมปังนี่เลิกไปเลย เพราะขนมปังกับเค้กมีกลูเตนที่กระตุ้นภูมิแพ้
...ส่วนคนที่อยากได้แคลเซียม ให้กินที่เป็นไปโอ แคลเซียมเยอะ ๆ คือปลาเล็ก ปลาน้อย งาดำ ผักใบเขียว
...แล้วออกกำลังกาย ถ้าไม่มีเวลาก็เดิน ทำงานก็เดินขึ้นบันไดไปสิ สามสี่ชั้นก็พอ 15 นาที เดินไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องเร่ง แต่ถ้าเดินพื้นราบเดินเร็ว ๆ
...แล้วดื่มน้ำอย่างนี้ ตื่นมาดื่มน้ำ 2 แก้ว หนึ่งชั่วโมงหลังอาหารทุกมื้อให้ดื่ม 1 แก้ว
...สายกับบ่าย ก่อนอาหารหนึ่งชั่วโมงดื่ม 2 แก้ว ได้แล้ว 9 แก้ว
...ก่อนนอนไม่ต้องดื่ม เพราะไตต้องการพักผ่อน
...คนไข้ที่ไม่ฟังก็มีเยอะไป เขาเชื่อผลที่ออกมา แต่ไม่เปลี่ยนการกิน ไม่เปลี่ยนการใช้ชีวิต เพราะไม่อยากเปลี่ยน
...บางคนอยากกินโต๊ะจีน อยากกินขนม นี่แสดงให้เห็นชัด ๆ ว่าหมอเป็นแค่คนนำทาง คุณต้องไปปฏิบัติเองถึงจะเห็นผล
...คนที่ไปปฏิบัติตามได้ผลทุกคนครับ มีคนนึง-ความที่เขาเป็นอาจารย์ แล้วเป็นด็อกเตอร์ มีวินัยสูง ทำตามที่ผมสอนทุกอย่าง น้ำหนักเขาลดไป 12 กิโลภายในสองเดือน กระฉับกระเฉงเป็นคนละคนเลย”
จากที่เคยจับต้นชนปลายไม่ถูกกับกรณีของคุณพ่อคุณแม่และพี่เขยตัวเอง ตอนนี้คุณหมอบอกว่ามีความสุขมากที่ช่วยคนอื่น ๆ ได้ กระทั่งคุณหมอเองก็เปลี่ยนไปเยอะ
มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เพราะใช้ชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง