ประสบการณ์และข้อคิด อีกมุมหนึ่งของการดื่มนม
ดิฉัน ผศ.สุภาวดี โรจนธรรมกุล สอนอยู่ที่โรงเรียนสาธิตแห่มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ บางเขน มา 32 ปี ในระดับ ประถมศึกษาตอนปลาย ต้องใส่ใจนักเรียนในทุกๆด้าน เริ่องหนื่งซึ่งได้ติดตามสังเกตพฤติกรรม การดื่มนมของนักเรียนที่มีการดื่มกันเป็นประจำ เพราะมีเหตุน่าคิดชวนสงสัย ผลจากการดื่มนมเป็นประจำ มักมีสิ่งผิดปกติทางพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลทางวิชาการและการวิจัยของผลร้ายจากการดื่มนม ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องการดื่มนมของนักเรียนอย่างมากมาย เช่นเคย มีนักเรียนอยู่รายหนึ่งที่ผู้สอน ๆ อยู่อายุ 9 ปี อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นภูมิแพ้ และหอบหืดอย่างมาก บางครั้งนักเรียนต้องเดินไปเรียนที่ชั้น 3 ของอาคารอื่น และลงมาเพื่อกลับมายังอาคารเรียนห้องที่ประจำอยู่ ซึ่งอยู่บนชั้น 3 ของอีกอาคารหนึ่ง นักเรียนบอกว่ากว่าจะเดินมาถึงได้เหนื่อยมาก ต้องพ่นยาแก้หอบหืดถึง 3 ครั้ง สอบถามรายละเอียดก็ทราบว่านักเรียนดื่มนมที่บ้านมากเรียกว่า ดื่มกันเป็นลิตร ๆ ทีเดียว คุณแม่ก็สนับสนุนเพราะต้องการให้สูงและแข็งแรงก็ได้พูดคุยกับนักเรียนว่าควรจะลดการดื่มนมที่บ้าน เพราะที่โรงเรียนก็มีให้ดื่มบ้างแล้ว (วันละ 1 ขวด ขนาด 200 มล.) ก็น่าจะเพียงพอแล้ว และได้ให้เอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการดื่มนมที่มากเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียอย่างไรไปให้คุณแม่ได้อ่านด้วย ซึ่งนักเรียนก็งดการดื่มนมที่บ้าน ในระยะอันสั้น อาการภูมิแพ้และหอบหืด ก็เป็นน้อยลง และในที่สุดก็ไม่ต้องใช้ยาพ่นตัว และอาการหอบหืดก็ไม่ได้มาเยือนอีกเลย
ดิฉันได้มีโอกาสคุยกับคุณแม่ท่านหนึ่ง ซึ่งมีลูกสาวกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ต้องมาเข้ารับการผ่าตัดก่อนเพราะเป็นเนื้องอกในรังไข่ สอบถามรายละเอียด ทำให้ทราบว่าลูกนอกจากจะชอบทานอาหารประเภทฟาดส์ฟูดอยู่บ่อย ๆ แล้ว ยังดื่มนมเป็นประจำอย่างมาก เพราะคุณแม่อยากให้ลูกแข็งแรง มีความพร้อมในการจะสอบเอ็นทรานซ์ โดยไม่ได้คิดว่าจะมีผลเสียต่อร่างกาย ทั้ง ๆ ที่เด็กอายุแค่ 18 ปี เป็นเนื้องอกเสียแล้ว ซึ่งปกติควรจะเป็นสำหรับคนที่อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป
จากการสังเกตนักเรียนเป็นภูมิแพ้ หอบหืด จะดื่มนมยากมาก ขวดนิดเดียว (200 มล.) แต่ใช้เวลาดื่มนานประมาณ 15 นาที หรือมากกว่านั้น ถ้ามีเวลาให้มากกว่านี้ หรือถ้าไม่ดื่มได้ก็ดี นักเรียนบอกว่ามันจะอาเจียนและขย้อนออกมา ให้หนูทำอย่างอื่นจะง่ายกว่า ถ้าพิจารณาแล้วมันก็เป็นอาการของร่างกายที่ปฏิเสธไม่ต้องการสิ่งที่จะมีปัญหากับร่างกาย บางคนดื่มแล้วท้องเสียก็มี เป็นการตอบสนองของร่างกาย ที่เราควรจะพิจารณาให้ความสำคัญ
อีกรายหนึ่ง เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนรู้จักดี เป็นชายอายุประมาณ 40 ปี เป็นมะเร็งต่อมเหลือง ทราบจากประวัติ เป็นคนที่ทานอาหาร 3 อย่างอยู่เป็นประจำ และถือว่าเป็นอาหารหลัก เพราะชอบ และสะดวก คือ ข้าวขาหมู ดื่มนม และไอศกรีม ทานได้ประมาณ 2 ปี ก็เป็นโรคร้ายแรงดังที่กล่าวมานับว่าโชคดีที่รักษาได้ทัน และต้องปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร
มีเรื่องหนึ่งที่น่าจะเป็นข้อสังเกตที่ชัดเจนมาก เมื่อ 30 ปีที่แล้ว นักเรียนห้องหนึ่งมีประมาณ 30 กว่าคน ถ้ามีนักเรียนที่มีสมาธิสั้น 1-2 คน ก็ถือว่ามากแล้ว เพราะส่วนใหญ่ไม่มี แต่ปัจจุบันนี้นักเรียนห้องหนึ่ง 30 กว่าคน มีนักเรียนที่มีสมาธิสั้นอยู่ประมาณเกือบ ½ ห้อง มีทั้งเป็นน้อยและเป็นมากต้องได้รับการรักษา เพราะมีผลต่อการเรียนอย่างมาก นักเรียนมีอาการอยู่ไม่นิ่ง มีสมาธิได้ไม่เกิน 5 นาที ทั้ง ๆ ที่เป็นเด็กที่มีสติปัญญาดี แต่เนื่องจากไม่มีสมาธิในการที่จะรับฟังคำอธิบายจากครูในห้องหรือไม่มีสมาธิในการทำการบ้าน งานไม่เสร็จ หลงลืม ทำให้ผลการเรียนตกต่ำ ตกซ่อมอยู่เป็นประจำ บางคนได้รับการรักษาแล้ว โดยคุณหมอให้ทานยาแก้สมาธิสั้นก็ได้ผลเป็นช่วงเวลา นักเรียนต้องทานอย่างต่อเนื่อง นักเรียนบางคนทานยาแล้วปวดศีรษะ นักเรียนบอกว่าหัวแทบจะระเบิด บางครั้งตีและชกหัวตัวเองเพื่อจะให้หายปวด แต่ก็ไม่หาย ถ้าไม่ทานยาก็ไม่มีสมาธิที่จะอยู่นิ่งได้ นักเรียนเหล่านี้ล้วนแต่ดื่มนมที่ล้นเกินแทบทั้งสิ้น ได้พยายามบอกผู้ปกครองแล้วว่าอย่าให้นักเรียนดื่มนมมากนักที่บ้าน เพราะที่โรงเรียนก็ให้ดื่มบ้างแล้ว แต่ทุกคนยังฝังใจในด้านที่ให้ประโยชน์ด้านเดียวจากคำโฆษณาที่ว่า “วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง” ยากที่จะเชื่อว่ามีผลทางด้านลบด้วย เคยดูจากทางทีวี และอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ มีการนำลูกเสือมาให้หมูเลี้ยง (ดูดนมแม่หมู) ปรากฏว่าลูกเสือมีพฤติกรรมเหมือนหมู คือนอนทั้งวัน เชื่อง และไม่ดุร้าย และนำลูกหมูไปให้
วัวเลี้ยง (ดูดนมแม่วัว) ปรากฏว่าลูกหมูมีพฤติกรรมเหมือนวัวคือกระโดดโลดเต้นอยู่ไม่นิ่ง เด็ก ๆ ดื่มนมวัวกันมาก ๆ ทำไม ถึงมีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง สมาธิสั้น คงได้คำตอบแล้ว และหลายคนเป็นเด็กดื้อ
มีพฤติกรรมก้าวร้ายแถมพกมาอีกด้วย ดังนั้นเด็กทารก นมที่เหมาะที่สุดคือนมแม่ เมื่อเด็กโตทานอาหารอื่น ๆ ได้แล้ว ก็ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลาย นมไม่เป็นสิ่งจำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะทำให้ร่างกายเกิดปัญหาดังที่กล่าวมา ถ้าต้องการร่างกายแข็งแรง อยากสูง ก็ควรใช้วิธีออกกำลังกายจะดีกว่า
อีกหลายต่อหลายคนที่เคยพูดคุยมา เคยผ่าตัดเนื้องอก พอเวลาผ่านไป 1-2 ปี ก็มีเนื้องอกเกิดขึ้นอีกต้องไปผ่าตัด เป็นเพราะไม่ได้ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร ยังคงรับประทานอาหารในลักษณะเดิมที่ตนเองชอบ และมักจะมีการดื่มนมที่มากและล้นเกินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การที่เป็นเนื้องอก มีผู้รู้ได้พูดไว้ว่า มันคือขยะที่ร่างกายกำจัดออกไม่หมด ก็เลยไปฝากไว้ที่อวัยวะโน้น อวัยวะนี้ ก่อให้เกิดปัญหาและโรคร้ายแรงตามมา
ทั้งหมดที่เล่ามาก็เป็นประสบการณ์บางส่วน ที่อยากให้ผู้อ่านได้ข้อคิดไตร่ตรอง ว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยต่าง ๆ